เรื่องสั้น…รักพลิกล็อค / รินษรา  บทที่…3

บทที่…3

(ต่อจากตอนที่แล้ว…)

“เอ้อ ฉันมารายงานตัวน่ะค่ะ”

“รายงานตัว”

ชานนท์เงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าหญิงสาวในชุดเรียบหรูดูดีนั่น หอบหิ้วดอกไม้ช่อโตมาด้วย นอกจากกระเป๋าหลุยส์ใบที่คล้องไหล่อยู่นั่น

“คุณเอ้อ แววเดือน ที่คุณแม่มาสมัครงานให้เมื่อวาน รึเปล่า”

“ใช่ค่ะ ฉันแววเดือน”

“มิน่าล่ะ”

“มิน่าอะไรคะ”

 “ก็มิน่าแม่ถึงมาสมัครงานให้ คุณดูหรูหราฟู่ฟ่าเกินกว่าฐานะติวเตอร์ด้วยซ้ำ  แถมยังมีรถหรูมาส่ง มีดอกไม้ช่อใหญ่ อ้อ กระเป๋าหรูสุดโก้ นี่คุณ ถามจริงๆ เถอะ เพราะอย่างนี้ใช่มั้ย คุณถึงไม่คิดจะทำงานทำการ สปอนเซอร์ดีอย่างนี้นี่เอง ถ้าผมเป็นแม่คุณ ก็คงต้องบากหน้ามาหางานให้เหมือนกันล่ะนะ เพราะไม่อยากเห็นลูกทำตัวไร้ค่าไปวันๆ น่ะ”

“นี่คุณ ฉันไม่ได้มายืนตรงนี้ให้คุณด่าเล่นนะ ฉันมาเพราะฉันต้องการทำงาน แต่ถ้าคุณไม่ต้องการหรือไม่เต็มใจรับฉัน ก็ไม่ต้องรับ ฉันไม่ง้อ”

“ก็แน่ล่ะสิ ผู้หญิงเหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่ออย่างคุณ จะอดทนกับอะไรได้ แค่ผมในฐานะเจ้านาย ตักเตือนอะไรคุณนิดหน่อยในวันแรกของการทำงาน คุณก็รับไม่ได้ซะแล้ว แล้วอย่างนี้ คุณจะไปทำงานกับใครที่ไหนได้”

แทบจะนับหนึ่งถึงสิบกันเลยทีเดียวในคราวนี้ ก่อนที่หญิงสาวจะลอบถอนหายใจหนัก แล้วยืดอกเผชิญหน้ากับความจริงทุกอย่าง

“ก็ทำงานกับคุณไง ในเมื่อฉันรับปากแม่ไปแล้วว่าจะมาทำงานกับคุณ ฉันก็จะทำให้ได้”

“โอ.เค.ถ้าอย่างนั้นก็ดี เชิญในห้องด้านนี้เลย”

ชายหนุ่มไม่รอช้า เขาก้าวนำหญิงสาวเข้าไปในห้องกระจกด้านหลังโต๊ะที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน โดยที่ภายในห้องมีโต๊ะทำงานจัดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบหลายโต๊ะทีเดียว เออนะ ดูโอ่โถง สะดวกและ ะอาดเรียบร้อยเกินความคาดหมายเชียวล่ะ

“ที่นี่เรามีติวเตอร์เป็นหนุ่มๆ ทั้งหมด ก็สองสามคนได้ คุณ เป็นติวเตอร์หญิงคนแรก ผมเลยเลือกจัดโต๊ะชิดหน้าต่างให้ คุณน่าจะชอบ”

โต๊ะชิดหน้าต่างที่ว่า เมื่ออกไปภายนอก เห็นรถติดเป็นสาย แต่อย่างน้อย ก็นับว่าดีกว่านั่งอึดอัดใกล้ๆ บรรดาติวเตอร์หนุ่มๆ มากมายนั่นอยู่ดี

“เวลาทำงานของเรา เป็นไปตามตารางการเรียนการสอน ซึ่งเอกสารตารางทุกอย่างวางอยู่บนโต๊ะ คุณศึกษาดูก่อนแล้วกัน เดี๋ยวยังไง ถ้าพวกติวเตอร์คนอื่นๆ เข้ามา ผมค่อยแนะนำให้รู้จักอีกที แต่ชื่อแต่ละคนก็ติดไว้ประจำโต๊ะอยู่แล้ว”

เออนะ หญิงสาวเพิ่งสังเกตเห็นว่าด้านหน้าของโต๊ะมีป้ายรายชื่อติดไว้ชัดเจนจริงๆ นั่นล่ะ

“ขอบคุณมากค่ะบอส”

“เรียกผมว่าชานนท์ก็ได้ ที่นี่เราทำงานกันเหมือนพี่น้อง คุณไม่ต้องกังวล ถ้าคุณคิดดีทำดีซะอย่าง เราก็ทำงานร่วมกันได้อีกนานเชียวล่ะ และผมหวังว่าคุณคงไม่ทำให้แม่คุณหรือแม้แต่เจ้านายอย่างผม ต้องผิดหวังหรอกนะคุณแววเดือน”

ประโยคท้ายนั้น ฟังดูราวกับปรามาสกันอย่างไรไม่รู้ทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็ยังคงเชิดหน้าอย่างทระนง ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้กับเจ้านายคนแรกของเธอด้วยความมั่นอกมั่นใจ

 “แน่นอนค่ะคุณชานนท์ คนอย่างฉัน ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ยังไงซะ ฉันก็ไม่มีวันให้ใครมาดูถูกฉันได้หรอก”

“ก็ดีครับ เพราะบอกตรงๆ ว่าผมเองก็นึกอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ และตัดสินใจลำบากที่ต้องรับติวเตอร์หญิงคนแรกเข้ามา เพราะถึงผมจะมองว่าพนักงานหนุ่มๆ ของผมทำงานดีเพียงใด แต่เรื่อง ส่วนตัวของพวกเขา ผมเข้าไปรับรองอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น คุณเองก็ควรใช้วิจารณญาณในการทำงานร่วมกับทุกคนด้วยตัวเองนะครับ”

“ก็…ไม่น่ามีปัญหาอะไรอยู่ดีค่ะ บังเอิญฉันเป็นคนเข้ากับคนง่าย ไม่เรื่องมากน่ะค่ะ”

โดนย้อนทันควันแบบนี้ ทำเอาชานนท์ถึงกับชะงักกึกไปชั่วขณะเหมือนกันนะ แต่เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นที่เขากลับมาจุดรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนเดิม

“ก็ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยมีสาวๆ เข้ามาเป็นติวเตอร์บ้าง มันก็ช่วยสร้างสีสันในออฟฟิศได้นั่นล่ะ เชิญคุณตามสบายแล้วกัน ผมขอไปเคลียร์งานด้านนอกก่อน”

พูดจบชายหนุ่มก็หมุนตัวกลับออกไป ให้หญิงสาวก้าวไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เพื่อเช็คตารางการเรียนการสอนบนโต๊ะนั่นก่อน ก่อนที่จะเหลียวซ้ายแลขวาทันได้เห็นแจกันใบที่ว่างอยู่นั่น เธอจึงไม่รอช้าที่จะเทน้ำจากขวดน้ำเปล่าที่นำติดตัวมาด้วยเทใส่ลงไป หลังนำดอกไม้ช่อโตลงแจกันเรียบ ร้อย เสียงประตูก็เปิดกว้างออกอีกครั้งพร้อมกับชายหนุ่มสองสามคนที่แทบชะงักไปชั่วขณะ หากเพียงนึกอะไรบางอย่างออก เขาก็ส่งยิ้มให้กับเธอ

“คุณต้องเป็นติวเตอร์ใหม่ที่คุณชานนท์บอกแน่ๆ ยินดีต้อนรับครับ”

คนออกปากทักทายเป็นคนแรก แทบจะแสดงความยินดีก่อน จนลืมที่จะแนะนำตัวไปเลยทีเดียว

“ขอบคุณค่ะ ฉันแววเดือนค่ะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักคุณแววครับ พวกเราสามคน เอ้อพวกเรา ธันว์ กาจ แล้วก็ก้องครับ”

หลังแนะนำตัว ทุกคนแทบค้อมศีรษะทักทายหญิงสาวอย่างเป็นทางการก่อนก้าวไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ขณะที่ธันว์ ยังอดเหลือบมองบนโต๊ะของหญิงสาวไม่ได้

“ดอกไม้สวยจังครับ ดีนะ ทำให้ออฟฟิศเราสดชื่นขึ้นเป็นกองเลยคุณแวว”

“อะไรทำให้สดชื่นคะ คนหรือดอกไม้”

“ก็คงทั้งสองอย่างล่ะครับ ถ้าคุณแววมีอะไรสงสัย ก็ถามพวกเราได้ทุกอย่างนะครับ”

“โอ.เค.ค่ะ ขอบคุณทุกๆ คนมากนะคะ ถ้าฉันสงสัยอะไรจะรีบถามเลยแล้วกัน”

หากหลังจากประโยคนั้นผ่านไป ก็หาได้มีคำถามใดๆ จากหญิงสาวไม่

แน่ล่ะ สำหรับแววเดือนแล้ว เธอนับว่าเป็นเด็กเรียนมาตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งเมื่อเติบโตขึ้นก็ยิ่งเรียนเก่งขึ้นเป็นลำดับ จึงไม่น่าประหลาดใจเลยที่ในวันที่หญิงสาวจบการศึกษา เธอจะได้รับปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ

และนับว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดแล้วในชีวิต และจะว่าไปแล้วการได้ก้าวมาทำงานวันแรก แม้จะไม่ใช่งานมุ่งหวัง ตั้งใจว่าจะเข้าไปทำงานในบริษัทของเพื่อนหนุ่มที่พัฒนามาเป็นคนรักอย่างจัตวาหรือหนุ่มจอร์ทที่เธอรักก็ตามทีเถอะ

แต่อย่างน้อย  สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเป็นสุขในวันนี้ ก็คือการที่ได้ทำให้แม่ของเธอมีความสุขนั่นล่ะ !

………………….

กริ๊ง…กริ๊ง…

เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชื่อของแม่โชว์อยู่หน้าจอให้หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาได้ นึกถึงก็โทร.มาเลยทีเดียว

“ค่ะแม่..”

“แววถึงที่ทำงานเรียบร้อยดีมั้ยลูก”

“โอ.เค.เลยล่ะค่ะ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานใหม่ ถูกใจมาก ขอบคุณแม่นะคะ ที่มาสมัครงานให้          เสร็จสรรพแบบนี้”

“แม่ดีใจนะที่ลูกชอบ ยังไงก็ตั้งใจทำงานนะลูกนะ”

“ค่ะแม่…งั้น เดี๋ยวแววทำงานต่อเลยนะคะ กำลังเช็คตารางสอนเด็กอยู่เลยค่ะ”

“ได้เลยลูก แต่อ้อ เดี๋ยวนะแวว แม่ว่าจะบอกว่าเมื่อเช้าที่จอร์ทมารับลูกน่ะ ทำผ้าเช็ดหน้าตกอยู่ แม่เลยเก็บไว้ให้แล้วนะ”

“ผ้าเช็ดหน้าเหรอคะ คงไม่ใช่ของจอร์ทแล้วมั้งคะแม่ คือปกติจอร์ทไม่เคยพกผ้าเช็ดหน้าน่ะค่ะ”

“ไฮ้ ไม่ใช่ของจอร์ทแล้วจะเป็นของใครได้ล่ะลูก ก็มันหล่นอยู่หน้าบ้านเรา ตรงที่จอร์ทเลี้ยวรถเข้ามารอรับหนูพอดีน่ะ”

“อ้าว เหรอคะ อืมม์ งั้นไม่เป็นไรค่ะ เย็นๆ กลับไป ค่อยเก็บไว้คืนจอร์ทอีกที”

“ได้จ้ะลูก งั้นแค่นี้ล่ะ หนูทำงานต่อเถอะ”

คราวนี้แม่วางสายไปแล้วจริงๆ ทิ้งให้แววเดือนนี่ล่ะ ที่ได้แต่นั่งมึนด้วยความประหลาดใจ กับเรื่องผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวนั่น เพราะความที่เรียนด้วยกันมาจนจบ ถึงปัจจุบันนี่ ไม่เคยสักครั้งที่เธอจะเห็นชายหนุ่มพกผ้าเช็ดหน้าติดตัว

เออนะ แต่ในเมื่อแม่ยืนยันขันแข็งอย่างนั้น แล้วมันเป็นผ้าเช็ดหน้าใครกันละ ที่หล่นมาจากรถหรูของเขานั่นน่ะ

เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวเปล่าๆ

หญิงสาวส่ายหน้า พยายามไม่คิดอะไรต่ออีก นอกจากสานต่องานตรงหน้า ด้วยการเตรียมตัวสอนรายวิชาแรกในเวลาอันใกล้ บางที ได้อยู่กับเด็กๆ ที่มาเรียนมากมาย ก็คงทำให้เธอผ่อนคลายสบายใจบ้างล่ะนะ !

…………

“ใกล้เที่ยงแล้วนะครับ มื้อนี้ อนุญาตให้พวกเราได้เลี้ยงต้อนรับติวเตอร์ใหม่บ้างได้มั้ยครับ”

ธันว์นั่นล่ะที่เป็นตัวตั้งตัวตี คอยจ้องมองนาฬิกาบนฝาผนังเอาไว้ทีเดียวก่อนจะเอ่ยประโยคนั้นออกมา ให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน หมุนปากกาในมือเล่น หลังจากเพิ่งลงเวลาการสอนไปเป็นที่เรียบร้อยในช่วงครึ่งเช้าของเธอ

“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ แต่ เอ้อ ฉันมีนัดแล้วจริงๆ”

“มีนัด อย่าบอกนะครับว่ากับแฟน เพราะถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราต้องอกหักดังเปราะกันแน่ๆ เลย”

“ใครอกหักดังเปราะเหรอธันวา”

เสียงบอสหนุ่มแทบจะทำให้ฝุงผึ้งแตกกระจายได้ในคราวเดียวจริงๆ

“เอ้อ ไม่ใช่ใครแถวนี้หรอกครับ พวกเราแค่แซวแววเค้าเล่นน่ะ”

“ได้แซวแล้ว สนุกมั้ยล่ะ ถ้าสนุกมากวันหลังจะได้นิมนต์ไปแซวอย่างเป็นทางการ ไม่ต้องมาสอน”

เงียบกันกริบเลยทีเดียวในคราวนี้ เออนะ บอสหนุ่มไปกินรังแตนที่ไหนมาล่ะหว่า

“อย่านึกว่ามีพนักงานสาวๆ เข้ามาแล้วจะมาแซวเล่นสนุกปากได้ พวกเราก็รู้ เราเป็นติวเตอร์ก็ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ด้วย เข้าใจที่ผมพูดรึเปล่า”

“เข้าใจครับพี่นนท์”

 “อย่างนั้นก็ดี จะพักเที่ยงแล้วนี่ รีบๆ ไปกินข้าวกันได้แล้ว บ่ายมีสอนต่อกันไม่ใช่เหรอ”

“ครับ ไปกันเถอะพวกเรา”

ถึงตอนนี้บรรดาสามหนุ่มแทบจะก้าวเดินออกไปจากห้องกันหมด เหลือเพียงชานนท์เท่านั้น ที่หันไปมองหญิงสาวที่กำลังเก็บสัมภาระเล็กๆ ของเธอลงกระเป๋า สะพายใบเดิมนั่น

“แล้วคุณล่ะ ไม่ไปกินข้าวเพราะอิ่มอกอิ่มใจกับดอกไม้ในแจกันนั่นรึเปล่า”

“อ๋อ เปล่าค่ะคุณนนท์ บังเอิญฉันไม่ใช่ผีเสื้อ จะได้ดูดดื่มเกสรดอกไม้แล้วอิ่ม ฉันกำลังจะไปทานข้าวอยู่พอดี”

“กับใครล่ะ เจ้าของรถสปอร์ตหรูเมื่อเช้านั่นรึเปล่า”

“จะกับใคร ก็คงเป็นเรื่อง ส่วนตัวของฉันมั้งคะ หรือว่าที่นี่ ต้องรายงานกันทุกเรื่อง”

“นี่คุณ ผมถามดีๆ ทำไมต้องมายอกย้อนด้วย”

“ฉันไม่ได้ยอกย้อน ก็แค่ถามคุณดีๆ เหมือนกัน”

 “โอ.เค.ๆ ผมขอโทษ”

“ฉันไม่ได้โกรธคุณก็แค่รู้สึกว่าคุณไม่มีเหตุผล คุณเป็นเจ้านายนะคะ ตั้งแต่เข้ามานี่ คุณทำลูกน้องวงแตกไปแล้ว โมโหอะไรมาก็อย่ามาพาลกับลูกน้องสิคะ”

ราวกับเตือนสติ ให้ชายหนุ่มค่อยเงยหน้าขึ้น สบตากับหญิงสาวแล้วระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“นั่นสิ ผมไม่ควรทำตัวพาลเป็นเด็กๆ แบบนี้เลยนะ ว่าแต่ คุณมีนัดกับใครรึเปล่า ถ้าไม่มี ไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ย”

“ฉันก็อยากไปเป็นเพื่อนคุณอยู่หรอกนะคะ ถ้าไม่บังเอิญตั้งใจไว้ว่าจะกลับไปทานข้าวบ้านฉลองงานใหม่กับแม่น่ะค่ะ”

“ทานข้าวบ้านเหรอ ถ้างั้น คุณรังเกียจมั้ย ถ้าผมจะตามไปขอข้าวบ้านคุณทานสักมื้อน่ะ”

“ฉันต่างหากที่ควรถามคุณ จะรังเกียจรึเปล่า บ้านฉันก็หลังเล็กๆ กับข้าวฝีมือแม่ก็อาหารไทยพื้นๆ ธรรมดาๆ นะคะ”

“ต่อให้แค่ไข่เจียวใบเดียว ผมก็ทานได้คุณ ตกลงคุณโอ.เค.แล้วนะ ผมจะได้ถือโอกาส ไปรู้จักบ้านคุณด้วยไง”

เวลานั้น ใบหน้าของชายหนุ่มดูสดใสขึ้น ไม่เครียดขึ้งเหมือนเมื่อตอนเขาเข้ามาในห้องครั้งแรก และนั่นก็แทบทำให้หญิงสาวพลอยใจอ่อนไปด้วย บางที เวลาที่เราเครียดๆ เหนื่อยๆ แค่ได้ทำอะไรก็ตามที่ใจอยากจะทำ มันก็ทำให้มีความสุขแล้วล่ะ

“ถ้างั้นก็ยินดีค่ะบอส”

หญิงสาวเอ่ยคำนั้นออกมาก่อน สะพายกระเป๋าพาดบ่ารวดเร็ว แล้วก้าวตามชายหนุ่มไปจนถึงรถของเขา ที่ฝ่ายนั้นดูหน้าเจื่อนลงไปนิด

“เอ้อ รถผมอาจจะไม่หรูเท่ารถสปอร์ตของแฟนคุณนะ”

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักคำ อย่าหาเรื่องกันสิคะ”

หญิงสาวดักคอ ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งในรถที่เขาเปิดประตูกว้างให้ ก่อนที่จะบอกทางไปสู่บ้านของเธอกับชายหนุ่ม ซึ่งมันก็ไม่ได้ไกลสมคะแนนคุยจริงๆ และเพียงเห็นบ้านสองชั้นสีฟ้าสดใสนั่น ชายหนุ่มก็ถึงกับเผลอยิ้มออกมา

“ไหนว่าหลังเล็กๆ ไงครับ ดูสิต้นไม้เยอะแยะเลย ร่มรื่นดีจัง”

“แม่ฉันชอบปลูกต้นไม้น่ะค่ะ ลำพังฉันไม่ค่อยได้เรื่องเลย อย่าว่าแต่ปลูกเองเลย แค่รดน้ำต้นไม้ ฉันยังไม่มีเวลา เรียนอย่างเดียวจริงๆ ค่ะ”

“มิน่าล่ะ คุณถึงได้เรียนเก่งแบบนี้”

“เชิญข้างในดีกว่าค่ะ”

หญิงสาวเชื้อเชิญก่อนเรียกแม่ลั่นไปเหมือนเคย

“แม่คะ แม่ แววกลับมาทานข้าวด้วยแล้ว แต่มีคนร้องขอมากินข้าวด้วยคนน่ะค่ะ”

“ใครกันล่ะ ตาจอร์ทเรอะ”

คนถามก้าวออกมาต้อนรับ และเพียงเห็นหน้าคนตามมา ก็รับไหว้แทบไม่ทันทีเดียว

“อ้าว พ่อคุณ คุณติวเตอร์นั่นเอง”

“ผมชื่อชานนท์ครับแม่ ไม่ใช่ติวเตอร์”

“แม่ติดปากน่ะ โทษที มาๆ มาทานข้าวกันเลยงั้น แม่เตรียมไว้หลายอย่างทีเดียว แต่กับข้าวง่ายๆ เลยนะ คุณคงทานได้นะคะ”

“สบายมากครับ”

ชานนท์ก้าวตามไปนั่งลงบนโต๊ะอาหารตามคำเชื้อเชิญนั่น ก่อนที่หญิงสาวจะไปตักข้าวให้ ถึงจะเป็นครอบครัวเล็กๆ แต่ก็ดูอบอุ่นจนน่าอิจฉาทีเดียว !


ตอน ที่่ 1 ตอน ที่่ 2 ตอน ที่่ 3 (โปรดติดตามตอนต่อไป)