วันเวลากับทุกความฝันของผู้ชายคนนี้… เป้ง – ทินกร ตันติอำไพวงศ์

            Profile :

          การศึกษา

            – ปวส. (ประโยควิชาชีพชั้นสูง) สาขาเทคโนโลยีความงาม วิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา

            – ปปช. (ประโยคครูประถมการช่าง)

            – ปมช. (ประโยคครูมัธยมการช่าง)

            – สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตเพาะช่าง

หน้าที่การงาน 

            อดีต : หัวหน้าข่าวสตรี-เสริมสวย หนังสือพิมพ์เดลิมิเร่อร์

            ปัจจุบัน : บรรณาธิการบริหาร นิตยสารแฮร์แอนด์บิวตี้ หนังสือพิมพ์ อินไซด์บันเทิง และผลิตสื่อการเรียนรู้..คู่มือซอยผม, คู่มือเกล้าผม, ผู้ผลิตรายการบิวตี้สแควร์ และรายการอินไซด์บันเทิง จานดำ PSI ช่อง 151  และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ตโปรดักชั่น 97 จำกัด

รางวัลที่ได้รับ

            รางวัลเมขลา ประเภทรายการอนุรักษ์บันเทิงไทยและวัฒนธรรมดีเด่น และรายการแฮร์แอนด์บิวตี้โชว์ ทางช่องลาวสตาร์ (ประเทศลาว)

ด้านสังคม

            กรรมการฝ่ายหาทุน มูลนิธิสิริวัฒนาเชลเชียร์ ในพระบรมราชินูปถัมภ์

            ที่ปรึกษา สมาคมส่งเสริม เสริมความงาม (ประเทศไทย)

วิทยากรพิเศษ

            มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ

          วันเวลาเป็นของขวัญอันแสนวิเศษเสมอ โดยเฉพาะกับหนุ่มมาดเข้มอย่าง พี่เป้ง-ทินกร ตันติอำไพวงศ์ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการเสริมสวยและบันเทิงมายาวนาน นับตั้งแต่ยังวัยรุ่นจนถึงรุ่นหนุ่ม จนถึงปัจจุบัน หนุ่มใหญ่ผู้เต็มไปด้วยความฝัน และทุกความฝันถูกสร้างสรรค์จนเป็นจริงขึ้นมาได้เสมอ เมื่อมีกระดุมเม็ดแรก กระดุมเม็ดต่อไปก็จะถูกติดเรียงกันไปได้เรื่อยๆ เสมอ ซึ่งพี่เป้งได้เล่าถึงการทำงานชิ้นแรกๆ ให้ฟังว่า…

          “งานของพี่ เริ่มต้นจริงๆ เมื่อ 40 กว่าปีมาแล้วนะ  เริ่มจากเป็นคนเขียนการ์ตูนญี่ปุ่น ไอ้มดแดง กาโม่ เขียนเพื่อส่งสำนักพิมพ์ ทางสำนักพิมพ์ก็นำผลงานที่เราเขียนไปพิมพ์ขาย อันนั้นคือเป็นงานแรกๆ ของพี่เลย และเป็นงานที่ถือว่าประสบความสำเร็จ ช่วงนั้นจะมีหลายสำนักพิมพ์มาให้เราเขียน  เราก็จะมีนามปากกาหลายๆ ชื่อด้วยกัน เรียกว่าใช้นามปากกาหลายนามปากกา  อย่างนามปากกาแรกก็ ช.ชาญวิทย์ ที่มาของนามปากกานี้ก็มาจากสมัยมัธยมเรียน รร.ชาญวิทย์วิทยาลัย สมัยก่อนจะใช้แบบนี้ อย่าง น นพรัตน์ แล้วก็มีตอนเรียนเพาะช่าง ใช้ กร  ศิษย์วิษณุ   แล้วก็มี Sun แปลว่าพระอาทิตย์ ก็มาจากชื่อของพี่คือทินกร หลังจากนั้นความที่เราอยากได้เงินเยอะๆ ก็มีหนังสือดาราญี่ปุ่น ทีวีรีวิว ดังมาก โรงพิมพ์เห็นเราชอบการ์ตูนญี่ปุ่นก็ถามว่าเราทำได้มั้ย  เราก็บอกว่าได้ เราก็ถามว่าถ้าเราสั่งหนังสือเกี่ยวกับดาราญี่ปุ่นวัยรุ่น ก็ว่าสั่งได้ สมัยนั้นไปสั่งที่ร้านหนังสือในไดมารู ปัจจุบันเป็นห้างบิ๊กซี ตรงข้ามเวิลด์เทรดนะ เราก็มีปัญหาต่อมาอีกเรื่องคนแปล แปลเนื้อเรื่องทั้งหมด เคนโด ยูโดสายดำ ก็ปรึกษากับพนักงานที่สั่งให้เรา เขาก็รับปาก เขาแปลภาษาญี่ปุ่นได้ แปลเสร็จก็ออกมาทำเป็นหนังสือ ชื่อหนังสือ ทีวี 74 ยุคที่ดาราญี่ปุ่นดังมากๆ ไม่ว่าหนังสือเกี่ยวกับดาราญี่ปุ่นฉบับไหนวางจำหน่ายก็ขายได้หมด”

            แต่การเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย ก็มักเกิดขึ้นได้เสมอ ในช่วงหนึ่งที่วงการหนังสือดาราญี่ปุ่นโด่งดังมากๆ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง นำดาราไทยเข้ามารวมเป็นรูปเล่มบ้าง มีการแทรกใบ้หวย เป็นแรงดึงดูดลูกค้าให้ซื้อหนังสือกันเป็นจำนวนมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ จนเรียกว่าสร้างปรากฎการณ์ให้กับดาราไทย และภาพยนตร์ไทยได้เริ่มต้นขึ้น เป็นการแข่งขันที่นำมาซึ่งการสร้างรายได้อย่างมากมายมหาศาลในยุคสมัยหนึ่ง

            “ต้องยอมรับว่าช่วงนั้นจากนั้นมายุคเปลี่ยนแปลงจริงๆ  พี่เองก็มีโอกาสได้ทำหนังสือดาราไทย ได้เริ่มไปสัมภาษณ์ดารา ตอนนั้นยังเป็นเด็กใหม่ ก็ลุยไป สัมภาษณ์ ถ่ายรูป ติดต่อเองหมด ไปเฝ้าดาราในกองถ่าย อยู่ตรงไหนเราก็ไปเฝ้า ตั้งแต่รุ่น สรพงศ์ ชาตรี จารุณี สุขสวัสดิ์ ไม่เจอกันหลายปี เจอสรพงศ์ที่วัดของแก ก็ยังจำกันได้ แกเป็นคนมารยาทดี มนุษย์สัมพันธ์ดีมาก เราก็สนิทกัน ตอนนั้นเป็น บ.ก. ทำเองทุกอย่าง จนเริ่มมีภาพยนตร์บันเทิง เราก็ถ่ายปกให้เขาทุกเล่ม ส่งปกแต่ละสำนักพิมพ์ ดาราสมัยก่อนจะเหมือนเพื่อนกัน คุยกันเอง ทอดผ้าป่าอะไรก็เชิญเขามาร่วมงานด้วย เป็นช่วงเวลาที่ทำงานอย่างมีความสุขและสนุกสนานมากจนลืมความเหน็ดเหนื่อยไปเลยนะ”

            ชีวิตยังมีการเปลี่ยนแปลง มีจุดหักเห มีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาให้เรียนรู้อยู่เสมอ ชีวิตของพี่เป้งก็ไม่ต่างกัน จากจุดเริ่มต้นที่ชื่นชอบในการทำงานวงการเสริมสวยและบันเทิง ชื่นชอบการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีเพื่อน มีพี่น้องมากมาย ทำให้วันหนึ่ง ได้มีโอกาสในการก้าวสู่บันไดอีกขั้น ในการทำงานที่เติบโตขึ้นในสายงานที่ตัวเองชอบ  

            “ต้องบอกว่าเป็นโอกาส ที่เราได้รับนะ ตอนนั้นจำได้ว่า ท่านสมัคร สุนทรเวช เปิดหนังสือพิมพ์เดลิมิเล่อร์  ขึ้น เราก็ได้รับการทาบทามไปรับผิดชอบทำข่าวสตรี คือท่านเห็นว่าเราคลุกคลีกับวงการนี้ก็ทำตั้งแต่เริ่มเปิดเลย นานมาก น่าจะประมาณ 30 กว่าปี เพราะแฮร์แอนด์บิวตี้ก็จะ 20 ปีแล้วนะ พี่อยู่กับเดลิมิเล่อร์ 16 ปีเต็มจนเขาเลิกทำ ก็มาเจอคุณต้อย แอคเนอร์ ก็มาติดต่อให้ช่วยคุณติ๋ม ทำงานหนังสือ ตอนนั้นพี่ก็ได้ช่วยทำหนังสือคุณหญิง หนังสือบอส อยู่อีกประมาณ 2 ปี เต็มๆ ถึงได้เริ่มมาทำหนังสือของตัวเอง”

            หนังสือของตัวเอง คือหนังสือ แฮร์แอนด์บิวตี้ หนังสือเกี่ยวกับวงการเสริมสวยในแนวที่พี่เป้งถนัด จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม หากหนังสือแฮร์แอนด์บิวตี้ ก็เดินทางจากเล่มแรกในวันนั้น จนมาถึงวันนี้ เกือบ 20 ปีเต็มเลยทีเดียว การเดินทางอันยาวนาน ไม่ต่างไปจากการเดินทางของชีวิตการทำงานที่ผ่านอะไรมากมาย และทุกอย่างที่ผ่าน เป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดของพี่เป้งเสมอ

            “คือมันเป็นความสุขใจที่ได้ทำนะ งานในวงการเสริมสวย เราคลุกคลีกับมันมานานมาก แต่จุดเริ่มจริงๆ ในการทำหนังสือของตัวเอง อาจจะไม่ได้ตั้งใจเต็มร้อยที่จะทำ คือระหว่างนั้น หลังจากไม่ได้ทำเดลิมิเล่อร์เพราะเขาปิดตัวลงแล้ว ก็มีเวลาและโอกาสได้ไปร่วมงานภาพยนตร์กับท่านมุ้ย อยู่เกือบ 5 ปีได้ ในการทำภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยทัย”  ก็เข้าไปช่วยทำด้านประชาสัมพันธ์ ถ่ายรูปในกองถ่าย ส่งข่าวให้นักข่าวสำนักต่างๆ ก็เป็นอีกงานหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำและก็ทำอยู่นาน ส่วนหนังสือ แฮร์แอนด์บิวตี้ ต้องบอกก่อนว่าที่ตัดสินใจเปิดเล่มนี้ขึ้นมา อาจไม่ได้ตั้งใจอะไร หรือวางแผนไว้ก่อนเลย แต่เริ่มต้นจากตอนทำคุณหญิงอยู่ ทางแฮร์ทูเดย์ ได้มีการทาบทามให้ช่วยดูแลโฆษณาให้ แต่พอทำจริง ๆ ก็มีประเด็นหลายอย่าง ทำให้เกิดติดขัด เรามีโฆษณาในมือแต่ไม่มีที่ลง ก็เลยเปิดหนังสือตัวเองขึ้นมา เป็นการเปิดเพื่อเอาโฆษณาที่มีอยู่ในมือเราลงหนังสือ เรียกว่าทำเพื่อให้มีที่ลงแอดโฆษณาที่เรารับมา  แต่เมื่อทำขึ้นมาแล้วมันเกิดยืดยาวขึ้นมา ได้จนถึงวันนี้จะเลิกก็ไม่ได้แล้ว จะไปปิดเหมือนคนอื่นก็ไม่ได้ บางคนอาจมองว่าคนไปอ่านในโซเชียลกันหมดแล้ว แต่เราก็คิดว่ามันอยู่เลี้ยงตัวมันเองได้แม้กำไรน้อย เราก็ไม่เกี่ยง ก็ทำต่อไปนะ”

            การทำงานของพี่เป้ง ในด้านหนังสือที่รัก แนวคิดอาจดูนอกกรอบอยู่บ้าง แต่แนวคิดนอกกรอบ กลับทำให้หนังสือ แฮร์แอนด์บิวตี้ ยังยืนหยัดอยู่บนแผงหนังสือได้ แม้ขายไม่ดีเท่ายุคแรกๆ กำไรไม่มากมาย แต่ความคู่กันระหว่างหนังสือแฮร์แอนด์บิวตี้ ก็เปรียบเสมือนเพื่อนที่ทิ้งกันไม่ได้ จึงพร้อมจะกอดคอฝ่าอุปสรรคปัญหาไปด้วยกันต่อไป

            “จริงๆ มันเป็นเรื่องยากนะ หลายคนก็ทักท้วง ไม่ไหวก็ปิดไปดีกว่ามั้ย แต่ความคิดเรา มันต้องไปต่อได้สิ ก็ยืนหยัดมาจนถึงวันนี้ ยอดพิมพ์ก็ไม่เคยไปลดอะไร เรายังพิมพ์เท่าเดิม หลังจากสงให้สมาชิก ส่งตามยอดขายบนแผงหนังสือในซีเอ็ด ที่เหลือเราก็นำไปแจกฟรีแทน เพราะเราทำสะสมมา 19 ปี จะเข้าปีที่ 20 แล้ว ทั้งโฆษณา และสมาชิกก็ยังอยู่ เราก็เหมือนทำการตลาดเป็นการหยิบยื่นให้เขาดู ส่งหนังสือไปตามร้านเสริมสวยทั่วประเทศ มันก็เลยทำให้หนังสือหมดตามจำนวนที่เราพิมพ์ โดยไม่จำเป็นต้องลดโฆษณาเขาก็เห็นดีด้วย อย่างหมื่นหนึ่ง พิมพ์หมื่นเล่มก็เล่มละบาท ถ้าเขาพิมพ์โบชัวร์โฆษณา 10,000 ใบ จะจ้างคนไปแจกที่ไหน ก็ไม่รู้จะแจกยังไง แต่ 10,000 บาทของเขา เมื่ออยู่ในหนังสือเรา มันจะอยู่ได้ และเดินทางไปถึงจุดที่มีคนอ่าน เห็นโฆษณาของเขา ลูกค้าก็แฮปปี้ เราเองก็แฮปปี้ด้วย ลองคิดดูว่าหนังสือราคา 70 บาท แจกฟรี มีใครเขาทำกัน เราไม่ได้ต้องการกำไรสูงๆ แค่เราเห็นทุกคนแฮปปี้เราก็อยู่ได้ เราก็มีวางขายในซีเอ็ดส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งส่งแจกฟรีทั่วประเทศ เก็บลูกค้าเอาไว้ อย่างน้อยกำไร 2-3 หมื่นก็ยังเป็นกำไร หนึ่งสมาชิก สองโฆษณา สามแจกฟรี มันคือแนวคิดที่ทำให้หนังสืออยู่ได้”

            แต่ถึงอย่างนั้น การพัฒนาในยุคดิจิตอล ความล้ำของเทคโนโลยีที่ก้าวเข้ามาเรื่อย ในชีวิตประจำวันของคนเรา จึงดูง่ายดายไปหมด หนังสือแต่ละเล่ม เริ่มหายไปจากแผงหนังสือ พี่เป้งเอง ได้มีมุมมองที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ให้หนังสือที่ทำยังคงอยู่ ควบคู่ไปกับสื่อดิจิตอลที่เพิ่มเติมเข้าไป พัฒนาไปอีกขั้นอย่างไม่ย่อท้อ

            “เราหยุดไม่ได้ เราก็ต้องมีการพัฒนาร่วมด้วย ทุกวันนี้เราจึงมีสื่อดิจิตอลควบคู่กันด้วย แฮร์แอนด์บิวตี้ของเรามีแอปพลิเคชั่น ไลน์แอด เฟสบุ๊ค แฟนเพจ เพื่อสนองตอบ อย่างลูกค้าที่บอกเขาไปดูพวกนี้หมด เราก็เหมือนแถมให้ เราก็เอามาลงให้ เพราะเราอยากเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ให้อยู่ได้ ข่าวก็มีลงในแฟนเพจ เวปไซด์ เปิดตรงไหนก็เจอ เราก็มีการจ้างแอดมินดูแลด้วย อย่างหนังสือเราเสร็จทั้งเล่มก็ส่งให้เขาจัดการไปลง เราก็เป็นบ.ก. เจ้าของ ดูแลทุกอย่าง หาเงินทุน แต่แอดก็เหมือนเดิม มีเพิ่มมาบ้างก็คือติดต่อกันมาเอง เราก็ยื่นข้อเสนอให้เขาดูว่าโอเค.มั้ย อย่างใบมีดโกนหนวด เราก็ลงไลน์แอดให้ด้วย มันก็มีตอบรับกลับมา เราก็ช่วยตอบให้ด้วยถ้ามีคนสนใจ ได้ผลจริง เห็นจริง เขาก็อยากลงแอด ให้คนเห็นสินค้าของเขามากขึ้น แต่ในส่วนเนื้อหาในเล่ม เราอาจไม่ได้ปรับอะไรมาก เพราะหนังสือของเรามันครอบคลุมแฮร์แอนด?บิวตี้ อยู่ เราก็จะไม่เน้นบทสัมภาษณ์ เรารู้ว่าช่างเสริมสวยไม่ค่อยได้ดู ได้อ่านอะไร เขาดูแต่รูป ทรงผม หนังสือทรงผมอย่างเดียว ก๊อปปี้ญี่ปุ่นเป็นเล่ม ทำไมอยู่ได้ เพราะร้านเสริมสวยต้องการแบบนี้ สมัยก่อน บทสัมภาษณ์ เนื้อหาเยอะ ปัจจุบันไม่เอาเลย คือพวกนั้นไปอ่านในกูเกิ้ลหมด อาหารที่ช่วยลดน้ำหนัก เซิร์ทก็เจอแล้ว สมัยก่อนต้องอ่านในหนังสือคือมันต่างกันไปแล้ว ส่วนมากเราเน้นรูป มีบันเทิงพวกละครออนแอร์ เรื่องย่อในแต่ละช่วง อย่างตอนนี้ลิขิตรักดวงดาวดัง เราก็เอามาลง ต่อไปจะเอาดาราขึ้นปก ให้อาโส่ยมาช่วยในเรื่องปกต่างๆ เพียงแต่เราจะปรับเป็นหนังสือดาราไปเลยไม่ได้ เพราะแอดโฆษณาต่างๆ เขาก็ให้เรามาเพื่อเป็นแฮร์แอนด์บิวตี้นะ” 

            การยืดหยัดในความเป็นปัจจุบัน พี่เป้งก็ไม่ได้ทิ้งความฝันในบั้นปลายชีวิตที่วางไว้ แม้จะทำได้ไม่ทั้งหมด อย่างที่คิดอยากทำพิพิธภัณฑ์สะสมของเก่า โปสเตอร์หนังเก่าต่างๆ เพื่อให้คนวัยเดียวกันได้มีโอกาสเข้าชม และพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน เป็นเหมือนร้านกาแฟ มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ ดูคลาสสิค แต่ความฝันบางครั้งอาจใหญ่เกินกว่าจะทำได้เพียงลำพัง สิ่งที่เป็นจริงในบั้นปลายจึงอาจมีการปรับเปลี่ยนไปได้ แต่ยังคงแนวคิดเดิม

          “แนวคิดบั้นปลายชีวิตของพี่ มันอาจดูเป็นไปได้ยากแล้วนะ เพราะพี่คิดคือไม่อยากทำเล็กๆ อยากทำใหญ่เลย มีมุมให้ถ่ายรูป ฝันแบบบ้านบางเขนเลย มีทุกอย่างย้อนยุค เอาพื้นทีให้เช่าเปิดโน่นนี่นั่น  ตอนนี้เราเริ่มกลัวจะไม่ได้ทำ บางอย่างเราก็เริ่มทยอยขาย ภาพนางงามเก่าๆ ดาราเก่าๆ ขายได้ คนเริ่มอยากได้ แต่ต้องเก่าจริงนะ ไม่ใช่เอารูปจากอินเตอร์เน็ตแล้วมาปริ้นแบบนี้ ความเป็นไปได้ ก็คงต้องเป็นแบบวันหนึ่ง ไม่ได้ทำหนังสือแล้ว เราอาจทำพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบที่เล็กลงกว่าที่เราวางไว้ คือใหญ่ๆ คงทำยาก เราก็อาจย่อขนาดให้เล็กลงหน่อย ให้ความฝันของเราเป็นจริงขึ้นมาได้นะ”

            ท้ายที่สุดแล้ว กับชีวิตที่เต็มไปด้วยความฝันและสร้างฝันให้เป็นจริง พี่เป้งยังได้ฝากข้อคิดดีๆ ไว้กับเราด้วยว่า…

            “ในยุคสมัยนี้ พี่ก็อยากบอกว่า เราจะไปพ่ายแพ้กับชะตาชีวิตตัวเองไม่ได้ ต้องลองให้ถึงที่สุด เราต้องไม่อยู่เฉยๆ ต้องพัฒนา ถ้าเราท้อแท้ มองว่าคนทำหนังสือเขาปิดกันหมดแล้วเราจะอยู่ยังไง เรามองแบบนั้นไม่ได้ เราต้องคิดว่ามันต้องทำได้สิ เราวิ่งถึงที่สุดหรือยัง มืดมนทุกทางรึยัง ถ้ามืดมนจริงๆ ต้องยอม แต่มันยังไม่ถึงที่สุด ยังได้อยู่ เราก็ต้องพยายาม อย่างโฆษณาหายไปสองหน้า เราต้องหาทางเอามาเสริม ถ้าแบบไม่เอาดีกว่า ไม่สู้ต่อละ มันก็จบ ถ้าเราสู้ต่อไป มันก็ต้องมีหนทาง ชีวิตคนเรามันต้องสู้ ไม่งั้นเราปล่อยเวลาผ่านไปวันๆ มันก็หมดไปวันๆ ไม่มีอะไรดีขึ้น เราต้องหาช่องทาง มันก็จะมีทางให้เราเดินเสมอครับ”

            ในทุกๆ เส้นทางแห่งการก้าวเดิน แน่นอนว่าเราย่อมเจออุปสรรคขวากหนามอยู่บ้าง ขอเพียงเราอย่าท้อ ทุกอย่างก็จะเป็นจริงขึ้นได้เสมอนะ !