เรื่องสั้น…รักพลิกล็อค / รินษรา …บทที่..6

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

“เดี๋ยวก่อน แวว ตกลงให้ผมมารับนะครับเย็นนี้”

จอร์ท ก้าวพรวดพราดตามออกมาจากรถ เวลาเดียวกับที่สองพี่น้องชานนท์และเนยก้าวลงจากรถพอดิบพอดี ลำพังชานนท์ น่ะไม่เท่าไหร่ แต่เนยต่างหากทีถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว

“เฮ้ย นี่มัน นายหน้าฝรั่งนี่นา”

บอกกับตัวเองเบาๆ หากพี่ชายที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินเข้าถึงกับหูผึ่ง

“ไปเรียกอะไรเขาอย่างนั้นยายเนย นั่นน่ะ คุณจอร์ท แฟนของคุณติวเตอร์สาวเค้า”

“แฟน โอ๊ย ผิดไปมั้งพี่นนท์ ก็นายคนนี้แหละที่เมื่อวานควงแฟนพี่นนท์ไปช็อปกระจายซะทั่วห้างน่ะ”

“อะไรนะ !”

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายตาโต เสียงเข้มบ้างในคราวนี้ เอาแล้วไง ตกลงเรื่องราวดูจะพัวพันกันให้วุ่นวายเป็นเส้นขนมจีนเลยนะนั่น ก่อนที่เรื่องราวเหล่านั้นจะถูกบอกเล่าจากน้องสาวผ่านมาถึงเขาอย่างหมดเปลือก

ก็แล้วแบบนี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ !

เฝ้าแต่ตั้งคำถามกับตัวเอง และราวกับเฝ้ารอว่าสักวัน ฝ้ายจะติดต่อมาหาเขา เพื่อยืนยันในความสัมพันธ์ที่ดีที่เขามั่นใจว่ายังคงมีเหลืออยู่นั่น แต่ในทางตรงกันข้าม ในวันหนึ่งที่ได้กลับมาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ชานนท์เพิ่งรู้ ไอ้ที่เขาว่าเข้าหน้ากันไม่ติด มันเป็นแบบนี้นี่เอง

“คุณหายหน้าหายตาไปสองสามวัน ผมติดต่อคุณไม่ได้ แต่คุณมาที่นี่ แค่เพียงมาต่อว่า ว่าผมไม่ใส่ใจคุณ เพราะผมมัวแต่หลงติวเตอร์สาวคนใหม่ คุณเอาข่าวกรองดีๆ แบบนี้มาจากไหน แล้วคุณคิดบ้างมั้ยล่ะฝ้าย ว่าผมเองก็อาจจะมีข่าวกรองดีๆ ของคุณไม่ต่างกัน เผลอๆ จะเด็ดกว่าด้วยซ้ำไป”

“ชานนท์ นี่คุณอย่ามาพาลกับฉันนะ”

“ผมไม่ได้พาล คุณต่างหากที่มาหาเรื่องผมก่อน ทำไมล่ะฝ้าย มีอะไร เราบอกกันตรงๆ ก็ได้ อย่ามาโทษว่าผมผิด แล้วเอาเหตุผลนี้เพื่อมาบอกเลิกกับผมหน่อยเลย”

“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าฉันจะขอเลิกกับคุณ”

“ไม่พูดก็เหมือนพูดนั่นล่ะฝ้าย เพราะแค่เพียงคุณคิดว่าผมมีใคร ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น มันก็เหมือนกับว่า คุณหมดความไว้วางใจในตัวผมไปแล้ว คนเรา ถ้าไม่ไว้ใจกันซะอย่าง ทุกอย่างมันก็ต้องจบสักวันอยู่ดี”

“ก็ได้ ได้เลยนนท์ ถ้าคุณต้องการให้เป็นแบบนั้น มันก็จะเป็นในแบบที่คุณต้องการ”

พูดจบหญิงสาวก็แทบจะสะบัดก้นเดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ชานนท์ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนโต๊ะในร้านอาหารเพียงลำพังด้วยความรู้สึกที่ยากเกินบรรยาย ราวกับว่า ใจหนึ่งเขาอยากก้าวตามไปงอนง้อเธอ แต่อีกใจกลับบอกให้เขาปล่อยเธอไปซะเถอะ ตามทางที่ต้องการและได้เลือกแล้วนั่น ก่อนที่เขาจะตัดสินใจหันไปเรียกบริกรหนุ่มมาสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเพิ่ม เพราะดูเหมือนว่า อาหารมากมายเต็มโต๊ะนั่นคงไม่ทำให้เขาอยากกลืนกินมันลงคอได้อีกต่อไปแล้วล่ะ

“พี่ เอ้อ จะดื่มแต่วันเลยหรือครับ”

“วันตรงไหน อากาศหนาวๆ แบบนี้ มืดเร็วจะตายไป นี่ก็จะสี่โมงครึ่งแล้ว เอามาเหอะ พี่ไม่เมาง่ายๆ หรอก”

เขาบอกกับเด็กหนุ่มที่แม้เข้ามาจดรายการตามที่ชายหนุ่มสั่งแล้ว หากยังไม่วายลังเล จนเมื่อเขายืนยันขันแข็งอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็จำต้องก้าวไปตามคำสั่งโดยไม่รีรอต่อไปอีก จากนั้นเขาก็ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาน้องสาวของเขา ที่ป่านนี้น่าจะยังคงนั่งเล่นอยู่ที่ออฟฟิศนั่นแน่ๆ

“เนยเหรอ พี่นนท์เองนะ”

“ค่ะพี่นนท์ เนยกำลังเป็นห่วงอยู่พอดี ทานข้าวไกลหรือคะ ไม่เข้ามาออฟฟิศซักที”

“ฮื่อ ยังไงพี่รบกวนเราปิดออฟฟิศให้พี่หน่อยนะ แล้วก็ กลับบ้านได้เลยไม่ต้องห่วงพี่ บอกแม่กับพ่อด้วยแล้วกันว่าพี่อาจจะกลับค่ำๆ หน่อย แค่นี้นะ”

“เอ้อ ค่ะ…”

ยังไม่ทันได้ซักไซร้ไล่เลียงอะไรต่อหรอกที่พี่ชายของเธอจะชิงวางสายลงไปก่อน เออนะ…อะไรจะไปไกลไม่ห่วงงานห่วงการบ้างเลยแบบนี้ เนยได้แต่ส่ายหน้า ก่อนก้มหน้าก้มตาเล่นไอแพดในมือตัวเองต่อไป

…………….

“จอร์ทเหรอ ใช่ๆ ฉันสอนอยู่น่ะค่ะ เย็นนี้มารับไม่ได้แล้ว ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะจอร์ท ติดประชุมอะไรก็ทำงานสำคัญของคุณไปก่อน แล้วค่อยเจอกันค่ะ แค่นี้นะคะ”

เสียงของเธอเบาแสนเบาเพราะเกรงใจเด็กๆ ในห้อง และภายหลังจากสอนเสร็จก็แทบจะเป็นเวลาเลิกงานพอดี ที่เธอสะพายกระเป๋าขึ้นพาดบ่า และพบว่าบอสหนุ่มยังไม่ได้กลับมา จนอดเป็นห่วงไม่ได้ ขณะที่เนยน้องสาวของเขา แทบจะยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งต้อนรับและเตรียมส่งพนักงานอย่างน่าเอ็นดูทีเดียว

“จะกลับแล้วเหรอคะพี่แวว รออีกนิดสิคะ เดี๋ยวเนยปิดออฟฟิศเสร็จ เนยเลยไปส่งก็ได้ เห็นพี่ชายว่า บ้านพี่แววอยู่ใกล้ออฟฟิศนี่เอง”

“ใช่ค่ะ เดินไปไม่ไกลก็ถึง ขอบคุณนะคะที่น้องเนยเป็นห่วง”

“เนยคงไม่ห่วงเท่าพี่ชายมั้งคะ ย้ำนักย้ำหนาให้เลยไปส่งพี่แววด้วย”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ฝากขอบคุณพี่ชายน้องเนยด้วยนะคะ แต่ว่า พี่แววรอไม่ได้จริงๆ พอดี วันนี้แม่ของพี่ไปถือศีลที่วัดน่ะค่ะ  สองสามวันถึงจะกลับ พี่อยู่บ้านคนเดียว ต้องรีบกลับไปรดน้ำต้นไม้ ดูแลบ้านน่ะค่ะ”

“อ้าว เหรอคะ งั้นพี่แววกลับบ้านดีๆ นะคะ แล้วเจอกันค่ะ”

“ค่ะ พี่กลับก่อนนะคะน้องเนย”

พูดจบหญิงสาวต่างก็ยกมือให้กันเป็นการอำลาในอีกวันหนึ่งนั่น ก่อนที่แววเดือนจะก้าวเดินออกจากออฟฟิศไปอย่างรวดเร็วและเร่งรีบอย่างที่บอก

…………………..

“จอร์ทคะ ฉันตกลงใจแล้วนะที่จะไปทำงานในตำแหน่งเลขาของคุณ แต่ก่อนไปเริ่มงาน คุณช่วยพาฉันไปเลี้ยงฉลอง ปาร์ตี้ส่งท้ายการว่างงาน แล้วก็… ฉลองความโสดให้กับตัวเองหน่อยได้มั้ยคะคืนนี้”

“ไอ้ปาร์ตี้ส่งท้ายว่างงาน ผมก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ไอ้ฉลองความโสดอะไรที่คุณว่านี่ ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ คุณ เอ้อ มีปัญหากับแฟนคุณเพราะผมรึเปล่า”

“โอ๊ะ เปล่าๆ ค่ะ”

“เปล่าค่ะนี่อะไร เปล่ามีปัญหา หรือเปล่าเกิดปัญหาเพราะผม”

“คงเป็นอย่างหลังมากกว่ามั้งคะ แต่ไม่ว่าจะยังไง คุณรับปากฉันได้รึยัง ว่าจะพาฉันไปตะลุยราตรีในค่ำคืนนี้”

“อืมม์ ถ้าเป็นความต้องการของคุณ ผมจะกล้าขัดใจได้ยังไงละครับ”

“เพราะคุณน่ารักอย่างนี้สินะ ใครๆ ถึงหลงรักคุณกัน”

“แล้วคุณล่ะ หลงรักผมกับเขาด้วยรึเปล่า”

“ไม่รู้สิคะ คิดเอาเองบ้างก็ได้นี่”

“โอ.เค. งั้น ผมขอคิดเข้าข้างตัวเองแล้วกัน ว่าคุณน่ะหลงรักผมหัวปรักหัวปรำทีเดียว ไปครับ งั้นวันนี้เราไปฉลองกันให้เต็มคราบกันเลยดีกว่า”

ชายหนุ่มให้ข้อสรุปอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะโอบรอบเอวเธอหลวมๆ อย่างสุภาพไปที่รถ สปอร์ตคันหรูเพื่อทะยานมันออกไปข้างหน้า

 สำหรับเขาแล้ว อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราต้องทะยานไปข้างหน้าเสมอ ไม่ใช่ก้าวถอยหลัง

และเขาก็พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กับสาวน้อยอย่างฝ้ายซะด้วยสิ !

……………….

บ้านเงียบดีจังในวันที่แม่ไม่อยู่แบบนี้…

แต่ดูเหมือนวันนี้มันจะเพิ่มความเหงาอย่างประหลาดล้ำเข้าไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก ภายหลังจากที่แววเดือนรดน้ำต้นไม้ ทำโน่นนี่ในบ้านจนเสร็จเรียบร้อย ไม่เว้นแม้แต่อาบน้ำปะแป้งขาวหอมกรุ่น มานั่งจ่อมจมอยู่หน้าจอทีวี กดเลื่อนไปช่องโน้นช่องนี้ก็ยังไม่ถูกใจ ปักหลักลงที่ช่องไหนแน่นอน ไม่ต่างไปจากความห่วงใยของเธอ ที่ในเวลานี้ อดที่จะแอบคิดถึงผู้ชายถึงสองคนไม่ได้ คนหนึ่งเป็นทั้งเพื่อนและคนรักที่คบหากันมายาวนาน แต่อีกคนเป็นเจ้านายที่แสนดี ที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะไปเคลียร์กับแฟนสาวของเขาเรียบร้อยแค่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ภาวนาขอให้เขาเจรจากับแฟนสาวสัมฤทธิ์ผลนั่นล่ะ

ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว เตรียมตัวจะเข้านอน มุดเข้าไปใต้โปงผ้าห่มให้อบอุ่น เสียงรถคันหนึ่งก็ปราดมาจอดที่หน้ารั้วบ้านก่อนให้หญิงสาวถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ

ใครกันล่ะ มาเป็นแขกยามวิกาลซะขนาดนี้

จะว่าจอร์ทก็คงไม่ใช่ ขานั้นลองบอกว่าติดประชุม ก็หมายถึงยาวนานชั่วข้ามคืน ถ้าอย่างนั้นจะเป็นใคร !

“แวว แววครับ…เปิดประตูรั้วให้ผมหน่อย”

เสียงเรียกอันเคยคุ้นนั่น ทำให้แววเดือนค่อยกล้าที่จะก้าวเท้าออกจากประตูบ้านเพื่อก้าวเดินไปถึงประตูรั้วหน่อยหรอก หากเพียงเห็น ภาพคนที่ยืนเกาะขอบรั้วนั่น เธอก็แทบมึน

“คุณนนท์ นี่ทำไม เมามายขนาดนี้คะ”

“ไม่มาวหรอก แค่มึนๆ น่ะ คุณเปิดประตูให้ผมหน่อยได้มั้ย ผมไม่อยากตะโกนคุยอยู่หน้ารั้วแบบนี้น่ะ”

เกิดอาการลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งหรอก ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเปิดประตูรั้วให้เขาขับรถเข้ามาจอด ถึงอย่างนั้น ก็แทบจะเบียดต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านเลยทีเดียว

เนี่ยนะ ที่ว่าแค่มึน !

“ไปฉลองอะไรที่ไหนกับใครมาเหรอคะบอส”

หลังจากเดินนำชายหนุ่มเข้ามาภายในบ้าน และบอสหนุ่มได้ทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวีจอใหญ่นั่นแล้วหรอกนะ หญิงสาวถึงได้เริ่มซักไซร้ไล่เรียงด้วยความสงสัย

“ฉลองอะไรได้ล่ะคุณ ไปเมาเหล้าให้ลืมความรักน่ะสิ ฝ้ายน่ะ เขาทิ้งผมไปแล้ว เขาทิ้งผมไปแล้วจริงๆ นะแวว”

ดูเอาเถอะ เอาความเข้มแข็ง เอามาดของความเป็นผู้นำไปทิ้งไว้ที่ไหนหมดก็ไม่รู้สิน่า

“แต่ฉันว่าคุณใจเย็นๆ หน่อยดีมั้ย ขืนคุณตีโพยตีพายไปแบบนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นแน่ๆ อีกอย่าง ถ้าคุณใจร้อน มันก็เหมือนเอาไฟไปโยนใส่กัน รอให้ใจเย็นก่อน ค่อยไปเคลียร์กันอีกทีก็ได้นี่คะ”

“ขอบคุณนะคุณแวว ถึงมันจะเป็นแค่คำปลอบใจ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนั่นล่ะ ว่าแต่ นี่แม่นอนแล้วเหรอครับ”

“แม่ไม่อยู่หรอกค่ะ  สองวันนี้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดน่ะ”

“ดีจัง ว่างๆ ผมน่าจะเข้าวัดเข้าวาซะมั่งนะ”

“ถ้าเข้าวัดด้วยจิตที่บริสุทธิ์ก็ดีอยู่หรอกค่ะ แต่ถ้าเข้าไปเพื่อแก้ปัญหาอกหักรักคุดของตัวเองนี่ ฉันว่าไม่ควรอย่างยิ่ง”

“นั่นสินะ สู้เอาตัวเองมานั่งตรงหน้าคุณ แล้วให้คุณเทศนาผมยังจะดีกว่า”

“นั่นก็มากไปค่ะ ฉันเป็นแค่ลูกน้อง คุณน่ะเป็นเจ้านาย ฉันจะไปอาจหาญเทศนาอะไรคุณได้ เอาเป็นว่า คุณนั่งพักให้สบายใจก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะไปชงชาอุ่นๆ มาให้ดื่ม คุณจะได้ดีขึ้น”

หญิงสาวบอกกับชายหนุ่มก่อนก้าวลับหายเข้าไปในครัว ออกมาอีกที เขาก็ได้กลิ่นชาหอมกรุ่นจากแก้วกาแฟใบเล็กๆ ที่วางลงตรงหน้านั่น

“ฉันแถมผ้าเย็นให้ด้วยค่ะ เช็ดหน้าเช็ดตาซะหน่อย คุณจะได้ชื่นใจ”

“ขอบคุณครับ”

คนกล่าวขอบคุณแทบจะลืมตัวยกชาขึ้นดื่มโดยลืมนึกถึงความร้อนของมัน และนั่นเองที่ทำให้เขาแทบปากพอง แถมชายังกระฉอกออกนอกถ้วยรดเสื้อเชิ้ตของเขาอีกต่างหาก

(โปรดติดตามตอนต่อไป)